Zusammenfassung der Ressource
อริยสัจ 4
Anmerkungen:
- ความจริงอันประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ หรือความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึงกลายเป็นอริยะ มีอยู่สี่ประการ
- ทุกข์
Anmerkungen:
- สภาพที่ทนได้ยาก ภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ สภาพที่บีบคั้น ได้แก่ ชาติ (การเกิด) ชรา (การแก่ การเก่า) มรณะ (การตาย การสลายไป การสูญสิ้น) การประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่สมหวังในสิ่งนั้น กล่าวโดยย่อ ทุกข์ก็คืออุปาทานขันธ์ หรือขันธ์ 5
- ชาติ
- ชรา
- มรณะ
- โสกะ
- ปริเทวะ
- ทุกข์กาย
- โทมนัส
- อุปายาส
- ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก
- ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
- ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น
- สมุทัย
Anmerkungen:
- สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 คือ กามตัณหา-ความทะยานอยากในกาม ความอยากได้ทางกามารมณ์, ภวตัณหา-ความทะยานอยากในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ และ วิภวตัณหา-ความทะยานอยากในความปราศจากภพ ความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ ความอยากที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิหรืออุจเฉททิฏฐิ
- กามตัณหา
Anmerkungen:
- ความอยากในกาม ความเยื่อใยในกาม ฯลฯ โดยทั่วไปหมายถึงความอยากในกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะ
ใจความสูงสุดของกามตัณหา หมายถึงความยินดี ความติดใจ ความพอใจในกามภพอันเป็นที่เกิดของผู้ยังเกี่ยวข้องด้วยกามซึ่งพร้อมมูลด้วยกามได้แก่โลกมนุษย์และเทวโลก
- ภวตัณหา
Anmerkungen:
- ความอยากมีอยากเป็น คืออยากมีอย่างนั้นอย่างนี้ อยากเป็นนั่นเป็นนี่
ภวตัณหา ใจความสูงสุดหมายถึงความกำหนัดยินดีในรูปภพและอรูปภพ คือความพอใจติดใจในฌานด้วยความปรารถนาภพ อันเป็นความยินดีที่ประกอบด้วยสัสสตทิฐิ คือความเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเช่นเบญจขันธ์เป็นของเที่ยงแท้ ยั่งยืน มีติดต่อกันไปไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคืออยากเกิดอยากเป็นเช่นที่เป็นอยู่ตลอดไป
- ภวตัณหา
Anmerkungen:
- ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น คืออยากจะพ้นจากภาวะที่ตนไม่ต้องการไม่อยากได้ เช่น อยากพ้นจากความยากจนจากความเจ็บไข้ พ้นจากความยากจน หรือ ไม่อยากเจอหน้าคนที่เราไม่ชอบใจ เป็นต้น
วิภวตัณหา อีกความหมายหนึ่ง หมายถึง ความคิดที่ผิด (อุจเฉททิฐิ) คือ เห็นว่าภพชาติไม่มี อันเป็นความความเห็นผิดที่ทำให้ไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ เพราะความเห็นชนิดนี้เชื่อว่าชาติหน้าไม่มี คนเราตายแล้วสูญ จึงทำให้ปฏิบัติตนไปตามใจปรารถนาด้วยอำนาจของตัณหา โดยไม่กังวลถึงผลที่จะตามมาภายหลัง
- นิโรธ
Anmerkungen:
- ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ กล่าวคือ ดับตัณหาทั้ง 3 ได้อย่างสิ้นเชิง
นิโรธ 5 หมายถึง ความดับกิเลส ภาวะไร้กิเลสและไม่มีทุกข์เกิดขึ้นนิโรธเป็นธรรมะที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้นิโรธ มี 5 ประการ โดยมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก เช่น
ปหาน 5 (การละกิเลส 5 ประการ)วิมุตติ 5 (ความหลุดพ้น 5 ประการ)วิเวก 5 (ความสงัด ความปลีกออก 5 ประการ)วิราคะ 5 (ความคลายกำหนัด ความสำรอกได้ 5 ประการ)โวสสัคคะ 5 (ความสละ ความปล่อย 5 ประการ)
- ปหาน - การละกิเลส
- ตทงฺคปหาน ได้แก่การละกิเลสได้ชั่วขณะ
- วิกฺขมฺภนปหาน ได้แก่การข่มนิวรณ์
- สมุจฺเฉทปหาน ได้แก่การละกิเลสได้โดยเด็ดขาด
- วิมุตติ - การหลุดพ้น
- ตทังควิมุตติ - การพ้นไปจากอำนาจ"ตัวกู-ของกู"
Anmerkungen:
- การพ้นไปจากอำนาจของ"ตัวกู-ของกู"ด้วยอำนาจของสิ่งที่บังเอิญประจวบเหมาะ
- วิกขัมภนวิมุตติ - ความดับแห่ง"ตัวกู"
Anmerkungen:
- ความดับแห่ง"ตัวกู" ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจของการประพฤติหรือการกระทำทางจิต หมายถึง ขณะนั้นมีการกระทำจิตให้ติดอยู่กับอารมณ์ของสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่งตามแบบของการทำสมาธิ
- สมุจเฉทวิมุตติ - ความดับ"ตัวกู"
Anmerkungen:
- ความดับ"ตัวกู" ด้วยการกระทำทางปัญญา คือการทำลายอวิชชาลงอย่างสิ้นเชิง
- วิเวก - ความสงัด
- กายวิเวก - ความสงัดกาย
Anmerkungen:
- ความสงัดกาย ได้แก่การอยู่ในที่สงัดก็ดี ดำรงอิริยาบถและเที่ยวไปผู้เดียวก็ดี
- จิตตวิเวก - ความสงัดใจ
Anmerkungen:
- ความสงัดใจ ได้แก่การทำจิตให้สงบผ่องใส สงัดจากนิวรณ์ หมายเอาจิตแห่งผู้มีสมาธิและสติ
- อุปธิวิเวก - ธรรมอันเป็นที่สงบ
Anmerkungen:
- ธรรมอันเป็นที่สงบระงับอุปธิทั้งปวง (หมายเอาผู้ฝึกฝนทางปัญญา จนเอาชนะกิเลส อนุสัยและสังโยชน์อันเหตุสร้างกรรมทางกาย วาจา(อุปธิ)
- วิราคะ - ความคลายกำหนัด
Anmerkungen:
- ความปราศจากราคะ, ความไม่พึงใจ, ความหน่าย, ความไม่ไยดี; นิพพาน
- โวสสัคคะ - ความสละ
- นิโรธ 5
- วิกขัมภนนิโรธ ดับด้วยข่มไว้
- ตทังคนิโรธ ดับด้วยองค์นั้นๆ คือ ดับกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับ
- สมุจเฉทนิโรธ ดับด้วยตัดขาด คือ ดับกิเลสเสร็จสิ้นเด็ดขาด
- ปฏิปัสสัทธินิโรธ ดับด้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกุตตรมรรค
- นิสสรณนิโรธ ดับด้วยสลัดออกได้ หรือดับด้วยปลอดโปร่งไป
- มรรค
Anmerkungen:
- แนวปฏิบัติที่นำไปสู่หรือนำไปถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรคอันมีองค์ประกอบอยู่แปดประการ คือ 1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ 2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ 3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ 5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ 6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ 7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ 8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ ซึ่งรวมเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง
- สัมมาทิฏฐิ - เห็นชอบ
- ความรู้อริยสัจ 4
- เห็นไตรลักษณ์
- อนิจจตา
- ทุกขตา
- อนัตตา
- เห็นปฏิจสมุปบาท
- รู้อกุศลและอกุศลมูล
- รู้กุศลและกุศลมูล
- สัมมาสังกัปปะ - ดำริชอบ
- ความดำริที่ปลอดจากโลภะ
- ดำริในอันไม่พยาบาท
- ดำริในอันไม่เบียดเบียน
- สัมมาวาจา - เจรจาชอบ
- งดเว้นจากการพูดเท็จ
- งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
- งดเว้นจากการพูดคำหยาบ
- งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
- สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ
- การงดเว้นการฆ่าสัตว์
- การงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้
- การงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
- สัมมาอาขีวะ - เลี้ยงชีพชอบ
- เว้นมิจฉาอาชีวะ
- การโกง หรือ หลอกลวง
- ประจบสอพลอ บีบ บังคับขู่เข็ญ
- แสวงหาลาภโดยไม่ประกอบด้วยความเพียร
- การต่อลาภด้วยลาภ
- สัมมาวายามะ - เพียรชอบ
- มิให้อกุศลธรรมเกิดขึ้น
- ละอกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว
- ให้กุศลธรรที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
- รักษากุศลธรรมไม่ให้เสื่อม
- สัมมาสมาธิ - ระลึกชอบ
Anmerkungen:
- ความตั้งใจมั่นโดยถูกทาง โดยการที่กุศลจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว (ความตั้งมั่นแห่งกุศลจิตในในอารมณ์อันใดอันหนึ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน)เข้าถึง ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และ จตุตถฌาน (จิตตั้งมั่นในฌานทั้ง 4 นี้ ส่วนอรูปฌาน)ทั้ง4ท่านจัดเข้าในจตุตถฌาน ตามอารมณ์ที่อรูปฌานมีเจตสิกที่เข้ามาประกอบในจิต คือ อุเบกขาเจตสิกและเอกัคคตาเจตสิก เช่นเดียวกับจตุตถฌาน
- ปฐมฌาน
- ทุติยฌาน
- ตติยฌาน
- จตุตถฌาน
- สัมมาสติ - ตั้งใจมั่นชอบ
Anmerkungen:
- การมีสติกำหนดระลึกรู้อยู่เป็นนิจว่า กำลังทำอะไรอยู่ กำหนดรู้สภาวะที่เกิดขึ้นจริงในขณะปัจจุบัน ในสภาวะทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ตามความจำกัดความแบบพระสูตร คือหลักธรรมที่เรียกว่าสติปัฏฐาน ๔ แบ่งออกเป็น 4
- กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน - กำหนดระลึกรู้ในกาย
- เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน - กำหนดระลึกรู้ในเวทนา
- ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน - กำหนดระลึกรู้ในธรรม คือ สัญญา และสังขาร
- จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน - กำหนดระลึกรู้ในจิต